ส่วนสิ่งที่ควรรู้ ก่อนดู คือ เมื่อทุกคน เข้าไปอยู่ใน เกม ทุกคน จะได้ใส่เครื่องแบบ สีเขียว ที่มีหมายเลข ประจำตัว กินนอน และ ใช้ห้องน้ำ รวมกัน ในโถง คล้ายโรงยิม
โดยมี เจ้าหน้าที่ ใส่ชุด สีชมพู และหน้ากาก ปกปิดตัวตน โดยมีหน้าที่ แตกต่างกัน ตามสัญลักษณ์ บนหน้ากาก
พวกแรกคือ วงกลม หมายถึง แรงงานทั่วไป คอยนำทาง ผู้เล่นไปสู่ เกม แจกจ่าย อาหารเครื่องดื่ม
พวกต่อมา คือ สามเหลี่ยม ทำหน้าที่ เป็นทหาร มีอาวุธในมือ เพื่อใช้ปลิดชีพ ผู้เล่นที่ ตกรอบ
และ พวกสุดท้าย คือ สี่เหลี่ยม เปรียบเสมือน ผู้จัดการ คอยควบคุม ทุกอย่างให้มีความสงบ เรียบร้อย
โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ ชุด ชมพู จะรับคำสั่งจาก หัวหน้า คือ ฟรอนต์แมน (Front Man) หรือ ชายผู้สวมหน้ากาก สีดำ นั่นเอง
แม้จะมีซีรีส์แนวเอาชีวิตรอดมามากมายหลายเรื่องแล้วก็ตาม แต่ความแปลกใหม่ของ Squid Game อย่างแรกคือการนำเกมและการละเล่นสมัยเด็กมาพลิกโฉมให้มีความโหดและป่าเถื่อนมากขึ้น เรียกว่าทำลายความทรงจำวัยเด็กที่เคยงดงามให้แหลกสลายกันเลยทีเดียว ในซีรีส์เราจะได้เห็นการละเล่นที่เราต่างคุ้นเคยกันดีทั้งหมด 6 เกมที่มีกติกาแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดล้วนออกแบบขึ้นมาเพื่อทำให้ผู้เล่นค่อย ๆ ตายไปทีละคนจนท้ายสุดเหลือผู้ชนะเพียงคนเดียว โดยไฮไลต์คือด่านสุดท้ายซึ่งใช้เกมปลาหมึกตามชื่อเรื่องมาประลองหาผู้ชนะ ส่วนที่เหลือจะมีเกมอะไรบ้างคงต้องไปดูกันเอาเองจะได้ลุ้นไปทีละตอน
อย่างต่อมาที่น่าสนใจคือกติกาเข้าร่วมการแข่งขัน โดยผู้เล่นทุกคนไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเกมนี้จะต้องแลกด้วยชีวิตจนกระทั่งเกมแรกจบลง ต่างกับเรื่องอื่นที่มีการบอกกติกาล่วงหน้าว่าถ้าแพ้ต้องตาย อยากเสี่ยงก็มา ไม่อยากเสี่ยงก็กลับไป ดังนั้นความตื่นเต้นของ Squid Game จึงมาจากความไม่รู้ดังกล่าว ผู้เล่นหลายคนไปเผชิญความตายแบบไม่รู้ตัวในเกมแรก เสมือนเป็นการอุ่นเครื่องให้เข้าใจกติกาแต่รู้ตัวอีกทีก็มีคนตายไปหลายร้อยศพแล้ว
ตอนดูตัวอย่างที่ปล่อยออกมาคิดว่าออนแอร์จริงต้องสนุกมากแน่ ๆ แต่ยอมรับว่าผิดหวังเล็กน้อย ด้วยการจั่วมาว่าเป็นซีรีส์แนวเอาชีวิตรอด ระทึกขวัญ นั่นจึงทำให้คาดหวังว่าจะต้องตื่นเต้นจนแทบหยุดหายใจ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่มากลบบรรยากาศเหล่านั้นคือ ปมดราม่าที่ใส่มาเยอะจนเกินพอดี เยอะจนอาจจะบอกว่าเป็นการยัดเยียดก็ไม่ผิด ซีรีส์เกาหลีกับการตีแผ่ปัญหาชีวิตมาคู่กันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กับเรื่องนี้อาจจะไม่ถูกที่ถูกทางมากนัก รู้สึกว่าควรให้น้ำหนักกับความระทึกของเกม เอาจิตวิทยามาขยี้ให้คนดูรู้สึกกดดันตามตัวละคร มากกว่าจะเรียกน้ำตาจากเรื่องดราม่าที่ดูทะแม่ง ๆ อยู่พอควร
ความน่าเสียดายอีกอย่างคือบทซีรีส์ที่แอบเชย ด้วยเป็นเรื่องที่คุณฮวังดงยอกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 2008 แต่ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะประเด็นด้านความรุนแรงที่สมัยก่อนอาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ชม ด้วยระยะเวลากว่า 13 ปีจึงทำให้มีภาพยนตร์และซีรีส์แนวนี้งอกออกมาเหมือนดอกเห็ด นั่นจึงทำให้ Squid Game ขาดเสน่ห์เพราะเดาทางง่าย อะไรที่เราเคยเห็นในเรื่องอื่นก็จะมีในเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น ความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน การเข่นฆ่ากันเองเพื่อกำจัดคู่แข่ง หรือบุคคลสำคัญที่แฝงตัวมาเป็นผู้เล่นเองก็ตาม อีกอย่างคือการเอาคนเป็นหนี้มาแข่งขันชิงเงินรางวัล แม้จะดูสมเหตุสมผลไร้ข้อกังขา แต่เราก็เคยเห็นพล็อตแบบนี้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Animal World (2018)